(คำเตือน: บทความนี้เฮียมูเขียนให้เพื่อนร่วมชาติอ่าน << คำเตือนจากผู้แปล แต่เราคิดว่าบทความนี้สามารถปรับใช้ได้กับทุกประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่กำลังจะเปิดพรมแดนความร่วมมือกันอย่างในเอเชียอาคเนย์)
หนทางสัญจรระหว่างจิตวิญญาณ
ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องหมู่เกาะเซ็งกากุที่ร้อนแรงขึ้นทุกวัน ผมได้ข่าวว่าหนังสือของนักเขียนญี่ปุ่นหายไปจากร้านหนังสือหลายแห่งในประเทศจีน ในฐานะนักเขียนญี่ปุ่นคนหนึ่ง ผมรู้สึกช็อคไม่น้อย นั่นเป็นการบอยคอตเชิงระบบที่รัฐบาลเป็นผู้นำหรือฝ่ายร้านหนังสือเก็บหนังสือเอง ผมยังไม่รู้ในรายละเอียด จึงยังไม่อยากแสดงความเห็นด้วยหรือคัดค้านในตอนนี้
ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จที่น่ายินดีที่สุดอย่างหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออก คือการก่อเกิด “เขตวัฒนธรรม” เฉพาะตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น เหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสภาพอย่างนี้ได้ น่าจะเป็นเพราะการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างน่าทึ่งของจีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน พอระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศมีรากฐานมั่นคง การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างเท่าเทียมก็เป็นไปได้ขึ้นมา ผลผลิตทางวัฒนธรรม (ทรัพย์สินทางปัญญา) หลายอย่างไปมาหาสู่ข้ามพรมแดนกันได้ มีการตั้งกฎร่วมกัน หนังสือแปลผีไม่ขอลิขสิทธิ์ที่เคยแพร่ระบาดในภูมิภาคนี้ค่อยๆ หายไป (หรือลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว) ค่าลิขสิทธิ์ล่วงหน้าและค่าลิขสิทธิ์ส่วนมากก็มีการจ่ายกันอย่างถูกต้อง
ตัวผมเองหากพูดจากประสบการณ์ก็ต้องบอกว่า “กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้หนทางช่างยาวไกล” สภาพในสมัยก่อนมันแย่ถึงขนาดนั้น แย่ขนาดไหนคงไม่พูดถึงเป็นเรื่องเป็นราวตรงนี้ (เพราะไม่อยากให้ปัญหายิ่งยุ่งเหยิงกว่าที่เป็นอยู่) ช่วงหลังมีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นมาก “เขตวัฒนธรรมเอเชียตะวันออก” เติบโตในฐานะตลาดที่มั่นคงจนใกล้โตเต็มที่ แม้จะยังมีปัญหาปลีกย่อยเหลืออยู่บ้าง แต่ปัจจุบันในตลาดนั้นมีดนตรี วรรณกรรม ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ แลกเปลี่ยนกันอย่างเท่าเทียมและเสรี ผู้คนจำนวนมากสามารถจับต้องและสนุกสนานกับสิ่งเหล่านี้ได้ ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นผลงานที่เยี่ยมยอดจริงๆ
ตัวอย่างเช่น พอละครทีวีเกาหลีฮิตขึ้นมา คนญี่ปุ่นก็รู้สึกใกล้ชิดกับวัฒนธรรมเกาหลีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก คนเรียนภาษาเกาหลีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะเรียกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนก็คงได้ ตอนที่ผมอยู่ในมหาวิทยาลัยที่อเมริกา ก็มีนักเรียนต่างชาติชาวเกาหลีใต้ ชาวจีนเข้ามาหาที่ออฟฟิศหลายคน พวกเขาตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือของผมอย่างน่าประหลาดใจ เรามีเรื่องพูดคุยกันมากมาย
การจะทำให้เกิดสภาพน่าพึงพอใจดังกล่าว ผู้คนมากมายทุ่มเททั้งกายใจมาเป็นเวลายาวนาน ผมเองซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงคนหนึ่ง ถึงจะมีกำลังเพียงน้อยนิดแต่ก็พยายามมาโดยตลอด ผมหวังไว้ว่า หากการแลกเปลี่ยนอย่างมั่นคงอย่างนี้ดำเนินต่อเนื่องไป ปัญหาหลายอย่างที่ค้างคาระหว่างเรากับประเทศใกล้เคียงในเอเชียตะวันออกจะค่อยๆ มุ่งไปสู่การคลี่คลายแน่ แม้อาจจะต้องใช้เวลานาน การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมมีจุดมุ่งหมายสำคัญอย่างหนึ่ง คือการทำให้เกิดความตระหนักรู้ที่ว่า “แม้พูดกันคนละภาษา แต่พวกเราล้วนเป็นมนุษย์ที่แบ่งปันความรู้สึกและความประทับใจกันได้” ว่าไปแล้วนี่คือหนทางให้จิตวิญญาณไปมาหาสู่กันโดยก้าวข้ามเรื่องพรมแดน
ในฐานะนักเขียนเอเชียคนหนึ่ง และคนญี่ปุ่นคนหนึ่ง ผมกลัวว่าปัญหาหมู่เกาะเซ็งกากุในครั้งนี้ หรือปัญหาหมู่เกาะทาเคชิมะ จะทำลายความสำเร็จที่ค่อยๆ สั่งสมมาทีละน้อยจนพังทลาย
ตราบใดที่เส้นแบ่งพรมแดนยังคงมีอยู่ ปัญหาเรื่องดินแดนก็จะยังเป็นประเด็นที่ไม่สามารถเดินหลีกผ่าน แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าจะแก้ไขได้ในทางปฏิบัติ และคิดว่าต้องเป็นเรื่องที่แก้ไขในทางปฏิบัติได้ หากปัญหาดินแดนก้าวล้ำเกินกว่าการเป็นปัญหาในทางปฏิบัติ ล่วงเข้ามาในเขตแดน “ความรู้สึกของประชาชน” แล้วล่ะก็ จะทำให้เกิดสภาวะอันตรายที่ไม่มีทางออกขึ้นบ่อยๆ เหมือนกับการเมาเหล้าสาเกราคาถูก เหล้าราคาถูกดื่มแค่ไม่กี่แก้วก็เมา เลือดขึ้นหัว ส่งเสียงดังโวยวาย กิริยาหยาบคาย ตรรกะถูกย่นย่อ ทำอะไรซ้ำไปซ้ำมา แต่หลังจากโวยวายเสียงดัง พอเช้าวันใหม่สิ่งที่เหลือก็มีแต่อาการปวดหัว
เราต้องระวังพวกนักการเมืองหรือนักปลุกระดมประเภทใจกว้างชอบแจกเหล้าถูกๆ ชอบกระพือเรื่องวุ่นวายเอาไว้ให้มาก ในยุคทศวรรษที่ 1930 การที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สร้างรากฐานอำนาจการเมืองได้อย่างเข้มแข็ง เป็นเพราะเขาวางนโยบายเอาคืนดินแดนที่เสียไปในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นหลัก สิ่งนั้นก่อให้เกิดผลเช่นไร พวกเราล้วนรู้ดี ปัญหาหมู่เกาะเซ็งกากุในครั้งนี้ คงต้องมีการตรวจสอบปัจจัยที่ทำให้เรื่องล่วงเลยมาจนถึงขั้นรุนแรงในสภาพนี้กันอย่างสุขุมในภายหลังทั้งสองฝ่าย นักการเมืองและนักปลุกระดมแค่โหมกระพือผู้คนด้วยคำพูดทรงพลังแล้วก็จบหน้าที่แค่นั้น แต่คนที่ถูกทำร้ายได้บาดแผลจริงๆ คือมนุษย์แต่ละคนที่ต้องยืนอยู่ในที่เกิดเหตุ
ในนิยายเรื่อง “The Wind-up Bird Chronicle” ได้พูดถึง “การสู้รบ Nomonhan” ระหว่างแมนจูกับมองโกลในปี 1939 เป็นการสู้รบสั้นๆ แต่ดุเดือดที่เกิดจากความขัดแย้งเรื่องเส้นแบ่งพรมแดน มีการต่อสู้รุนแรงระหว่างทหารญี่ปุ่นกับทหารพันธมิตรมองโกล-โซเวียต สูญเสียชีวิตทหารทั้งสองฝ่ายรวมกันเกือบสองหมื่นนาย หลังเขียนจบผมไปเยี่ยมที่นั่น ยืนอยู่กลางทุ่งหญ้าเวิ้งว้าง ปลอกกระสุนและข้าวของของผู้เสียชีวิตยังกระจัดกระจาย ความสิ้นไร้พลังอย่างรุนแรงถาโถม “ทำไมผู้คนต้องฆ่ากันอย่างไร้เหตุผลเพื่อผืนดินร้างแค่หยิบมืออย่างนี้”
อย่างที่กล่าวในตอนต้น เรื่องที่หนังสือของนักเขียนญี่ปุ่นถูกเก็บออกจากร้านในประเทศจีน ผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะแสดงความเห็น มันเป็นปัญหาภายในประเทศจีน ในฐานะนักเขียนคนหนึ่งรู้สึกเสียดายเป็นที่สุด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่ผมพูดได้อย่างชัดเจนที่นี่ตรงนี้มีเพียงว่า ขอความกรุณาอย่าทำอะไรเป็นการล้างแค้นการกระทำของทางจีนเลย ถ้าทำอย่างนั้นมันก็จะเป็นปัญหาของพวกเรา สะท้อนกลับเข้ามาสู่ตัวเราเอง ในทางกลับกัน หากเราสามารถแสดงท่าทีเยือกเย็น “ไม่ว่าจะมีเหตุอะไรก็ตาม พวกเราจะไม่สูญเสียความเคารพต่อวัฒนธรรมของชาติอื่น” ได้ล่ะก็ จะเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่สำหรับพวกเราเอง ซึ่งเป็นจุดยืนฝ่ายตรงข้ามกับการเมาเหล้าราคาถูกอย่างแท้จริง
การเมาเหล้าราคาถูกสักวันก็จะสร่าง แต่ต้องไม่ปิดกั้นหนทางไปมาหาสู่กันของจิตวิญญาณเป็นอันขาด หนทางนั้นสร้างมาด้วยการสั่งสมความพยายามสุดกำลังของคนจำนวนมากมาช้านาน และเป็นหนทางสำคัญที่ต้องรักษาให้สืบเนื่องต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
-----
ข่าวที่แปลจากบทความของ The Wall Street Journal ที่กล่าวถึงบทความนี้ http://gammemagie.blogspot.hk/2012/10/blog-post.html
No comments:
Post a Comment