Oct 2, 2012

ฮารูกิ มูราคามิ แสดงความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องดินแดนของญี่ปุ่น

บอกกล่าวกันสักนิด : เหตุที่นำข่าวนี้มาแปล เพราะมีสื่อที่กล่าวถึงเรื่องนี้โดยเขียนพาดหัวข่าวว่า "นักเขียนชื่อดัง “ฮารุกิ มุราคามิ” โดดร่วมวงพิพาทหมู่เกาะ-เตือนจีนอย่าสุมไฟ “ชาตินิยม” นำมาซึ่งความคิดเห็นก้าวร้าวรุนแรงจากผู้ที่อ่านข่าวไม่แตก เข้าใจผิดคิดง่ายๆ ว่าเฮียมูเป็นคนญี่ปุ่น ย่อมจะเข้าข้างญี่ปุ่น  

ตอนแรกเรามองเรื่องนี้ขำๆ นะคะ แต่คิดไปคิดมา   การบิดเบือนชักจูงให้เข้าใจผิดเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง  จึงต้องขอคัดค้านอย่างสงบ ด้วยการแปลข่าวนี้มาฝากให้พิจารณากันเองว่ามีการ "เตือนจีน" ตรงไหน 


ที่มา : http://blogs.wsj.com/japanrealtime/2012/09/28/novelist-murakami-weighs-in-on-japan-territorial-rows/


ฮารูกิ มูราคามิ แสดงความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องดินแดนของญี่ปุ่น 


แม้ว่าความขัดแย้งเรื่องดินแดนที่มีปัญหามากมายจะร้อนฉ่าขึ้นทุกขณะในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่ผู้มีชื่อเสียงนอกวงการเมืองน้อยคนจะออกมาแสดงจุดยืนของตนในปัญหาที่ละเอียดอ่อนที่ได้ก่อปัญหาลามข้ามไปถึงวงการอื่น  ไม่ว่าจะเป็นกีฬาและแวดวงวัฒนธรรม  แต่เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา (28 ก.ย. 55) นักเขียนชาวญี่ปุ่นชื่อดังที่ยังคงมีชีวิตอยู่เข้าร่วมสงครามคำพูดในครั้งนี้

ฮารุกิ มูราคามิ เขียนบทความแสดงความเป็นห่วงเรื่องผลกระทบทางวัฒนธรรมที่ดูเหมือนจะเป็นผลจากความขัดแย้งเรื่องดินแดนที่เพิ่มขึ้นมากมายหลายกรณี  เขาบรรยายความรู้สึกของตนถึงปัญหานี้อย่างไม่ยั้งว่า เป็นเหมือนการมึนเมาจากเหล้าสาเกราคาถูก  ความคิดเห็นของเขาได้รับการตีพิมพ์โดดเด่นขึ้นหน้าแรกของหนังสือพิมพ์อาซาฮีชิมบุน หนังสือพิมพ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันศุกร์ (28 ก.ย. 55) “ในฐานะนักเขียนเอเชียและนักเขียนญี่ปุ่น ผมกลัวว่าความสำเร็จที่มั่นคงที่เราได้ทำ (ในการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และการส่งเสริมความเข้าใจอันดีกับประเทศเอเชียเพื่อนบ้าน) จะถูกบั่นทอนจากปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกาะเซนกากุและหมู่เกาะทาเกชิมาในครั้งนี้” 


เกาะเซนกากุและเกาะทาเกชิมา อยู่ใจกลางความตึงเครียดระดับทวิภาคีที่คุกรุ่นมาตลอด โดยเกาะแรกมีปัญหากับจีน ส่วนหมู่เกาะที่สองมีปัญหากับเกาหลีใต้   เกาะที่อยู่ใต้อาณัติของญี่ปุ่นในทะเลจีนใต้ทั้งสองเกาะนี้  เกาะแรกเป็นที่รู้จักในนามเกาะเซนกากุในญี่ปุ่น แต่ทั้งจีนและไต้หวันก็ประกาศความเป็นเจ้าของด้วยเช่นกัน โดยทั้งสองประเทศเรียกเกาะนี้ว่าเกาะเตียวหยู  ความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ถูกทดสอบในช่วงเดือนหลังๆ จากกรณีหมู่เกาะที่ชื่อว่าทาเกชิมาในภาษาญี่ปุ่น  ดกโดในภาษาเกาหลี และเลียนคอร์ท สำหรับประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในวงทะเลาะวิวาท

การเก็บหนังสือญี่ปุ่นในร้านหนังสือทั่วประเทศจีนสร้างความ “ตื่นตกใจ” ให้กับนักเขียนวัย 63 ปีผู้นี้  เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งเรื่องดินแดนเหล่านี้ได้ลุกลามใหญ่โต และอาจตัดสายสัมพันธ์ในระดับภูมิภาคที่ต้องต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการสร้างขึ้นมา  มูราคามิกล่าวว่าเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะวิพากย์วิจารณ์เรื่องที่ประเทศจีนได้ระงับการขายหนังสือที่เขียนโดยนักเขียนญี่ปุ่น “เพราะมันเป็นปัญหาภายในของประเทศจีน” “แต่สิ่งที่ผมอยากกล่าว ณ ที่นี้ดังๆ ชัดเจน  คือ “กรุณาอย่าแก้เผ็ดโต้ประเทศจีนที่ทำอย่างนี้ หากเราทำ มันจะกลายเป็นปัญหาของเรา และมันจะย้อนกลับมาทำร้ายคุณ” 

มูราคามิ ผู้มีชื่อเสียงจากหนังสือที่โดดเด่นระดับคลาสสิกอย่างเช่น “Kafka on the Shore” และหนังสือไตรภาคเล่มยักษ์  “1Q84” กล่าวต่อว่า พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องดินแดนระหว่างประเทศ  ปัญหาต่างๆ ก็เป็นผลกระทบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ความเลือดร้อนได้เข้ามาแทนที่ความเป็นไปได้ของทางออกที่ได้ผล 


“มันเหมือนการเมาเหล้าสาเกราคาถูก  เมื่อดื่มเหล้าสาเกราคาถูกที่ว่านี้ไปแค่จอกเล็กๆ เลือดจะพุ่งขึ้นหัว  เสียงของประชาชนจะดังขึ้นและกระทำสิ่งต่างๆ อย่างรุนแรง” เขาเขียน  “แต่หลังจากได้ก่อเหตุวุ่นวายในเรื่องนี้ไปแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น สิ่งที่เหลือทิ้งไว้คืออาการปวดหัว”  เขาแนะนำให้ประชาชนระมัดระวังให้ดี เพราะเรื่องนี้มีนักการเมืองและพวกนักปั่นหัวเป็นผู้ชักนำ 


ขณะที่กระแสการต่อต้านนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นหัวข้อทางการเมืองที่มีการโต้แย้งกันอยู่อีกเรื่องหนึ่ง มีการสนับสนุนจากเสียงผู้ทรงอำนาจระดับนักเขียนรางวัลโนเบล เคนซาบุโร โอเอะ ความขัดแย้งเรื่องดินแดนยังคงเป็นเรื่องที่ยังไม่มีการแตะต้องในวงกว้าง เหตุจากการเชื่อมโยงกับความภาคภูมิใจในชาติ ไม่มีใครลุกขึ้นมากล่าวถึงปัญหาที่เต็มไปด้วยขวากหนามนี้  บทความของมูราคามิและการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันระดับประเทศแบบเห็นเด่นชัดกินพื้นที่หน้าหนึ่งและมีต่อด้านในฉบับ เป็นก้าวที่สำคัญในการเคลื่อนย้ายการโต้เถียงจากคำสั่งสอนจากกลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาสู่ผู้อ่านในวงกว้างขึ้น  ในบทความของเขา มูราคามิได้กล่าวถึงนิยายเรื่อง “The Wind-Up Bird Chronicle.” (บันทึกนกไขลาน) ที่มีเนื้อเรื่องที่เจาะเน้นเรื่องสงครามนองเลือดระหว่างทหารญี่ปุ่นกับกองทัพมองโกเลียและรัสเซียเพื่อแย่งชิงพื้นที่แห้งแล้งในทะเลทรายของมองโกเลีย  เขากล่าวว่าเขาได้เดินทางไปดูพื้นที่ที่เคยเป็นสนามรบหลังจากเขียนนิยายเรื่องนี้จบ “ตอนที่ผมยืนอยู่กลางพื้นที่ว่างเปล่าแห้งแล้งที่ยังมีเศษซากระเบิดและอุปกรณ์การทำสงครามกระจายไปทั่ว ผมรู้สึกอย่างหดหู่ว่าทำไมหลายต่อหลายชีวิตต้องมาสูญสิ้นเพื่อผืนดินที่ว่างเปล่าผืนนี้ด้วย” 



ที่ผ่านมา มูราคามิผู้ที่มักจะได้การกล่าวถึงว่าเป็นว่าที่นักเขียนรางวัลโนเบล ได้วิจารณ์เกี่ยวกับปัญหาต่างๆ หลายๆ เรื่อง  เขาไม่ได้พูดเจาะถึงเรื่องที่เกี่ยวกับนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วอย่างละเอียด กล่าวเพียงสั้นๆ ว่าเหตุที่เกิดกับโรงผลิตกระแสไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ที่ฟุกุุชิมาเมื่อปีที่แล้วเป็นเรื่องของการหาเรื่องเอง โดยเรียกว่ามันเป็น “ความผิดพลาดที่ก่อด้วยมือของเราเอง” ในการกล่าวสุนทรพจน์ในการรับรางวัลที่กรุงบาร์เซโลนาเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว  หนังสือเล่มต่างๆ ของเขาไม่ได้ปิดบังเรื่องราวที่ญี่ปุ่นกระทำระหว่างสงครามในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ ๒๐  ในหนังสือเรื่อง “The Wind-Up Bird Chronicle”  มีฉากที่น่าสะเทือนใจจากการครอบครองมันจูเรียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นจุดระเบิดทางประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศจีนกับประเทศญี่ปุ่น 

ความเห็นเรื่องความขัดแย้งในเกาะดังกล่าวออกมาไม่กี่สัปดาห์ก่อนจะมีการประกาศรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม รางวัลเกียรติยศที่มูราคามิมักจะได้รับการเอ่ยชื่อในฐานะผู้น่าจะได้รับรางวัล  ในปีนี้ก็เช่นกัน  นักเขียนชาวญี่ปุ่นผู้นี้ได้เข้าเป็นนักเขียนอันดับต้นๆ ที่น่าได้รับรางวัลนี้  เขาได้รับการวางเดิมพันในอัตรา 5 ต่อ 1 ในการจัดอันดับของลอร์ดโบรก บริษัทรับพนันที่สหภาพอังกฤษ 

-----


อ่านบทความต้นทางที่เฮียเขียนยาวเหยียดในหนังสือพิมพ์อาซาฮีชิมบุน แปลเป็นภาษาไทยอยู่ในลิงก์นี้ http://gammemagie.blogspot.hk/2012/10/blog-post_6.html

No comments: